Home บทความฟุตบอล 10 สุดยอดนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่ค้าแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก ตอนจบ

10 สุดยอดนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่ค้าแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก ตอนจบ

0
10 สุดยอดนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่ค้าแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก ตอนจบ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากเพื่อนๆได้อ่าน 10 สุดยอดนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่ค้าแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก ตอนแรก ไปแล้ว ผู้เล่น 5 คนแรกตรงใจกับที่คิดไว้หรือไม่ วันนี้ทาง 168kick ไม่ลืมที่จะนำตอนจบมาฝาก สุดยอดผู้เล่นจากแดนกังหันลมที่เหลือจะเป็นใครเชิญติดตามได้เลย

เดนนิส เบิร์กแคมป์ (อาร์เซน่อล 1995-2006)

หนึ่งในผู้เล่นชาวเนเธอร์แลนด์ที่ลงเล่นในเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยาวนานที่สุด เบิร์กแคมป์ ย้ายไปที่เล่นที่อังกฤษกับอาร์เซนอล และกลายมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมในตำแหน่งกองหน้า เมื่อสามารถทำพาทีมเป็นดับเบิลแชมป์โดยครองทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1997–98 รวมทั้งได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษในปี ค.ศ. 1998 ด้วย ซึ่งในช่วงเวลานั้น อาร์เซนอลประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจนกลายมาเป็นทีมชั้นนำทีมหนึ่งของเกาะอังกฤษ เทียบเท่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล ซึ่งในฤดูกาลที่ 2001–02 อาร์เซนอลก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

Non Flying Dutchman” แสดงให้เห็นถึงความเป็นตำนานความยิ่งใหญ่ หลัง อาร์เซน่อล เปิดตัวรูปปั้นของเขาที่หน้าสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อปี 2014

เดิร์ก เคาท์ (ลิเวอร์พูล 2006-12)

เดิร์ก เคาท์ มีสถิติการถล่มประตูสุดโหดกับ เฟเยนูร์ด ยิงไปถึง 71 ประตูจาก 101 เกมในศึกเอเรดิวิซีลีก ก่อนจะมาร่วมทัพ “หงส์แดง” เมื่อปี 2006 แต่หลังจากมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล กองหน้ารายนี้ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งปีก ทำให้สถิติยิงประตูลดลงมาพอสมควร

อย่างไรก็ตามกองหน้าจอมขยันรายนี้ได้ลงสนามเป็นตัวหลักของ ลิเวอน์พูล ตลอด 6 ฤดูกาลในพรีเมียร์ลีก และมีสาวนสำคัญช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกคัพ เมื่อปี 2011-12 นอกจากนี้ เดิร์ก เคาท์ ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ลงรับใช้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์มากที่สุด 104 นัด ช่วยบ้านเกิดยิงไป 24 ประตู

โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ (อาร์เซน่อล 2004-12, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2012-15)

โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ เริ่มสร้างชื่อในพรีเมียร์ลีกกับทีมดังย่านลอนดอนเหนือกับ อาร์เซน่อล ตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี โดยช่วงแรกเขาเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ก่อนที่ อาร์แซน เวงเกอร์ กุนซือระดับตำนาน จะเริ่มปรับให้เขามายืนเป็นหัวหอกตัวเป้า จากนั้นพัฒนาการของนักเตะชาวดัตซ์พุ่งไม่หยุด ตัวเลขการถล่มประตูมีอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นหนึ่งในกองหน้าที่จบสกอร์คมที่สุด เขาค้าแข้งอยู่กับทัพปืนโตนานถึง 8 ฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายไปตามหาความสำเร็จกับ แมนเชสเจอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2012 โดยฤดูกาลสุดท้ายกับ อาร์เซน่อล ดาวยิงชาวดัตซ์ถล่มไปถึง 37 ประตูจาก 48 นัด

หลังจากขายวิญญาณให้กับ “ปีศาจแดง” เพียงฤดูกาลแรก กองหน้าซ้ายสั่งตาย สังหารไปถึง 30 ประตู จาก 48 เกมรวมทุกรายการ คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน และช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้มแชมป์ลีกสูงสุดได้ทันที โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดตลอดกาลอันดับที่ 13 มีสถิติทำไปทั้งหมด 144 ประตู จาก 280 นัดในพรีเมียร์ลีก

จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ (ลีดส์ ยูไนเต็ด 1997-99, เชลซี 2000-04, มิดเดิลสโบรห์ 2004-06, ชาร์ลตัน แอธเลติก 2006-07)

แม้ จิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ จะเป็นนักเตะจอมพเนจร เคยค้าแข้งหลายประเทศทั้ง เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส, อังกฤษ และสเปน แต่กองหน้าจอมถล่มประตูเป็นที่ยอมรับอย่างมากขณะที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก

เขาเริ่มสร้างชื่อหลังทำไป 42 ประตูกับ 2 ฤดูกาลที่เล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการพา ลีดส์ จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 ซิวตั๋ว ยูฟ่า คัพ รวมทั้งเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกร่วมกับ ไมเคิล โอเวน และ ดไวท์ ยอร์ค ที่ 18 ประตู เมื่อฤดูกาล 1998-99 ว่าการเรียกค่าเหนื่อยที่ต้นสังกัดไม่อาจจ่ายไหวทำให้ ลีดส์ ต้องปล่อยตัวเขาสู่ แอตเลติโก มาดริด ด้วยมูลค่าราว 10 ล้านปอนด์ ที่ทัพ ตราหมี ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี แม้เป้าหมายของทีมจะสูงลิ่วอย่างการพาทีมคว้าตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ด้วยผลงานที่ตกต่ำทำให้นายใหญ่ชาว อิตาลี แยกทางกับทีมตั้งแต่กลางฤดูกาล แต่ถึงอย่างนั้น ฮัสเซลเบงค์ ยังทำสถิติจบฤดูกาลด้วยการคว้ารองดาวซัลโว ลา ลีกา ที่ 24 ประตู

กองหน้าชาวดัตซืกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจาก เชลซี ยอมทุ่มเงินก้อนโต(ณ เวลานั้น)จำนวน 15 ล้านปอนด์ เมื่อฤดูกาล 2000-01 ผลงานการถล่มประตูของเขายังคงร้อนแรงไม่หยุด ฮัสเซลเบงค์ รับใช้ เชลซี ทั้งหมด 4 ฤดูกาล มีสถิติการยิงประตูให้กับ สิงห์บลู 87 ลูกจาก 177 นัดเมื่อรวมทุกรายการ

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (เซาแธมป์ตัน 2015-18, ลิเวอร์พูล 2018-ปัจจุบัน)

กองหลังชาวดัตซ์ที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ยุคของ ยาป สตัม ปราการหลังร่างยักษ์ มีทักษะการเล่นเกมรับที่ครบเครื่องตามแบบฉบับของแนวรับยุคใหม่ เขามีทั้งความแข็งแกร่ง, ความเร็ว, ความนิ่ง รวมไปถึงยังมีทักษะการเล่นเกมรุกจากการโยนบอลยาวอันแม่นยำ

เขาย้ายจาก เซลติก มาโชว์ผลงานโดดเด่นกับ เซาแธมป์ตัน ก่อนที่จะโดน ลิเวอร์พูล ทุ่มเงินมหาศาล 75 ล้านปอนด์คว้าตัวมาร่วมทัพ ซึ่ง ฟาน ไดจ์ค แสดงให้เห็นว่าค่าตัวที่เสียไปให้เขาคุ้มค่าทุกปอนด์ เข้ามาช่วยยกระดับให้แนวรับของ ลิเวอร์พูล แข็งแกร่งระดับท็อปของยุโรป ส่งผลให้ หงส์แดง บินสูงประสบความสำเร็จมากมายคว้าทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีกคัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และสโมสรโลก

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้