10 ชาติชั้นนำที่ผ่านเข้าไปเล่นศึก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มากครั้งที่สุด ตอนแรก

ศึก ฟุตบอลโลกปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ กำลังจะอุบัติขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งนับว่าการย้ายมาจัดในโซนเอเชียครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขัน ตั้งแต่รอบคัดเลือก รวมไปถึงช่วงเวลาที่ลงสนามที่เปลี่ยนจากการแข่งในช่วงหน้าร้อน ที่เป็นช่องว่างระหว่างที่บอลลีกหลายโซนพักเบรก มาเตะกันช่วงหน้าหนาวที่เป็นช่วงที่บอลลีกกำลังแข่งขันอยู่ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นักเตะในยุคหลังไม่เคยเจอ แล้วคงต้องมีการปรับตัวกันพอสมควร

ตอนนี้ตั๋วทุกใบ ก็จะถูกจับจองจากชาติที่ที่ได้สัมปทานกันไปแล้วอย่างครบถ้วน การแบ่งกลุ่มต่างๆ ตอนนี้ มีการจัดสรรลงตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แฟนบอลคงเริ่มเห็นเค้าลางของแต่ละทีมกันไปบ้างแล้ว แน่นอนว่าทั้ง 32 ทีมที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นชาติระดับหัวแถวของแต่ละโซน ที่ฝ่าฟันอุปสรรคจนผ่านเข้ามาเล่นในรอบนี้ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามก็ย่อมต้องมีชาติที่ผิดหวังทั้งที่เป็นทีมที่มีฐานแฟนบอลมากมาย แต่กลับตกรอบไปอย่างน่าเสียดายเช่นเดียวกัน

บทความนี้เว็บไซต์ 168Kick พร้อมนำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับ 10 ชาติชั้นนำที่ผ่านเข้าไปเล่นในศึก ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้มากครั้งที่สุด โดยจะเรียงลำดับตามจำนวนครั้งไล่เรียงกันไป แบ่งเป็นสองตอนเช่นเคย เน้นไปที่การอัพเดตสถานการณ์ล่าสุด รวมไปถึงจำนวนครั้งที่ผ่านเข้าไปเล่น โอกาสในบอลโลกครั้งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน? มาดูกันไปพร้อมๆ กันเลยว่า จะมีทีมชอบทีมเชียร์ติดของแฟนๆ ติดเข้ามาบ้างหรือไม่? แล้วตอนเปิด 5 ชาติแรกจะมีทีมใดกันบ้าง?

เริ่มต้นกันที่อันดับที่ 9 ร่วมทีมแรก เป็นชาติที่เคยอยู่อันดับหนึ่งในการจัดอันดับ ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง นั่นก็คือ เบลเยี่ยม เจ้าของฉายา ปีศาจแดงแห่งยุโรป ที่ผ่านเข้ารอบมาเล่นแบบไม่ยากเย็นนัก แน่นอนว่าขุมกำลังของพวกเขาไม่ธรรมดา ล้วนแต่มีพ่อค้าแข้งตัวท็อปหลากหลายตำแหน่ง สำหรับตัวชูโรงของพวกเขาคงหนีไม่พ้นแนวรุก ไม่ว่าจะเป็น โรเมลู ลูกากู กองหน้าร่างยักษ์จากสโมสร เชลซี (ปัจจุบันย้ายไปเล่นแบบยืมตัวกับ อินเตอร์ มิลาน) ที่โชว์ฟอร์มในรายการใหญ่ๆ ได้ดีเสมอ รวมไปถึง เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมคเกอร์ตัวกลั่นจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็น บิ๊ก เกม เพลเยอร์ แบกทีมเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันได้บ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้ เบลเยี่ยม เคยผ่านเข้ามาเล่น เวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายได้มากถึง 14 ครั้ง นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

ต่อกันที่อันดับที่ 9 ร่วมทีมที่สอง เป็นชาติชั้นนำจากทวีปอเมริกาใต้ ที่ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้แบบกระท่อนกระแท่นพอควร มีการปรับเปลี่ยนกุนซือที่ทำทีมานานก่อนรอบคัดเลือกจะจบ แต่สุดท้ายแล้ว อุรุกวัย เจ้าของฉายา จอมโหด ที่เคยโดดเด่นอย่างมาก ในช่วงฟุตบอลยุคโบราณ คว้าแชมป์โลกไปได้สองสมัย มีสไตล์การเล่นอันดุดันเป็นเอกลักษณ์ บอลไม่ได้ก็เน้นคนเอาไว้ก่อน ครั้งนี้พวกเขาถูกจัดอยู่ในกลุ่ม เอช ร่วมกับ กาน่า, โปรตุเกส และ เกาหลีใต้ ไม่ใช่งานง่ายเลยที่จะผ่านเข้ารอบน็อค เอาท์ ขุนพลตัวหลักของพวกเขายังมีตัวชูโรงเป็นแนวรุกจอมเก๋าอย่าง เอดินสัน คาวานี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่พร้อมล่าสกอร์ให้ทีมได้ทุกเมื่อ ก่อนหน้านี้พวกเขาผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้ถึง 14 ครั้ง แต่ก็มีช่วงเว้นว่างที่เปลี่ยนถ่ายนักเตะแบบยุคสู่ยุคตามธรรมชาติของฟุตบอลเช่นกัน

ถัดมาที่อันดับที่ 7 ร่วมทีมแรก เป็นชาติที่เคยมียุคทองเมื่อช่วงปี 2010 ทำให้ทั้งโลกได้เห็นบอลสไตล์การเล่นแบบเท้าสู่เท้าที่เต็มไปด้วยทักษะ ไม่จำเป็นต้องมีกองหน้าอาชีพ แต่แนวรุกก็ไม่ได้ลดทอนความน่ากลัวลง จะเป็นทีมใดไปไม่ได้เลยนอกจาก สเปน เจ้าของฉายา กระทิงดุ มีดีกรีเป็นแชมป์โลก 1 สมัย เมื่อปี 2010 และอันดับสี่ 1 ครั้ง ในปี 1950 พวกเขามีลีกในประเทศที่แข็งแกร่ง พัฒนานักเตะก้าวขึ้นมาทดแทนได้แบบรุ่นสู่รุ่น เอกลักษณ์ในการเล่นยังคงเป็นแบบเดิม แต่ด้วยประสิทธิภาพผู้เล่นที่ด้อยลง ย่อมส่งผลต่อคุณภาพทีมแบบเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าขุนพลตัวหลัก ย่อมมาจากทีมจอมปั้นอย่าง บาร์เซโลน่า มีการผสมผสานระหว่างดาวรุ่งและตัวเก๋า แต่ไม่อาจวางใจได้เลยกับสถานการณ์เรื่องอาการบาดเจ็บ จึงไม่กล้าฟันธงจริงๆ ว่าควรฝากความหวังไว้กับผู้เล่นรายใด ก่อนหน้านี้พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันเวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายมาแล้ว 16 ครั้งด้วยกัน

ต่อเนื่องกันที่อันดับที่ 7 ร่วมอีกหนึ่งทีม ที่ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้ 16 ครั้งเช่นเดียวกัน เป็นทีมขวัญใจมหาชนในประเทศไทย ที่แฟนบอลตามเอาใจช่วยแบบล้นหลาม ก่อนทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ จะเริ่มขึ้นทุกครั้ง สื่อในประเทศต่างอวยกันว่าพวกเขาเป็นตัวเต็งเสมอ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะกลายเป็น หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม อยู่เป็นประจำ จะเป็นทีมใดไปไม่ได้เลยนอกจาก อังกฤษ เจ้าของฉายา สิงโตคำราม ที่ผลงานในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ถือว่าประสบความสำเร็จพอควรกับตำแหน่งรองแชมป์

ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกเพียงแค่สมัยเดียวในปี 1966 แล้วก็เป็นแชมป์ที่มีข้อกังขาตามมาไม่น้อย ช่วงหลังในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ดวงมักจะดีเป็นพิเศษ ได้อยู่ในกลุ่มที่งานเบา เส้นทางเลี่ยงทีมหินๆ จนได้เข้ารอบลึกๆ เป็นประจำ ขุนพลของพวกเขาไม่สามารถคาดเดาใจ แกเร็ธ เซาท์เกต ผู้จัดการทีมจอมอินดี้ได้เลย แต่นักเตะที่น่าจับตามองและคงได้ไปแน่ๆ หากไม่มีอาการบาดเจ็บ คือ บูกาโย ซาก้า ปีกฟอร์มร้อนของ อาร์เซน่อล และยอดดาวรุ่งสาระพัดประโยชน์อย่าง ฟิล โฟเด้น จากสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ถ้าสายคอนเทนต์คงเลือก แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังจอมเฟอะฟะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นตัวชูโรง

ปิดท้ายกันที่อันดับที่ 6 เป็นชาติมหาอำนาจ ที่เป็นแชมป์เก่ารายการนี้ถึงสองสมัยในปี 1998 และ 2018 ที่เป็นครั้งล่าสุด นั่นก็คือ ฝรั่งเศส ตัวเต็งเบอร์หนึ่ง ที่ว่ากันด้วยเรื่องของขุมกำลังตัวผู้เล่น คงยากที่จะหาทีมที่มีความเพียบพร้อมเท่ากับทัพ ตราไก่ เรียกได้ว่าแน่นทุกแดน ไล่มาตั้งแต่ กองหลัง, กองกลาง และกองหน้า ยกตัวอย่างเช่น ราฟาเอล วาราน เซนเตอร์ประสบการณ์สูงจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กวาดแชมป์ในระดับสโมสรมานับไม่ถ้วน เอ็นโกโล ก็องเต้ มิดฟิลด์จอมขยัน ที่ถ้าเข้าฟอร์มแล้ว ไม่ต่างจากปีศาจในเกมรับในแดนกลางที่มีปอดให้ใช้งานอย่าล้นเหลือจากสโมสร เชลซี และ คีเลียน เอ็มบัปเป้ กองหน้าฝีเท้าจัดที่ครบเครื่องในตำแหน่งนี้ ดูจากผลงานการแบกทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง คงไม่มีคำถามใดๆ ให้สงสัยในฝีเท้าของเขา ติดเพียงแค่อย่างเดียวที่ควบคุมไม่ได้ คือ ความสัมพันธ์ของนักเตะภายในทีม ที่แต่ละคนล้วนมีอีโก้จัดจ้าน เกิดดดราม่าอยู่เป็นประจำ ทำเอา ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ผู้จัดการทีมต้องปวดหัวกันไม่มีวันว่างเว้น ซึ่งนับรวมทั้งหมดแล้วพวกเขาผ่านมาถึงรอบนี้ได้ 17 ครั้งเลยทีเดียว

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

Scroll to Top